Blog REVIEW TRAVEL TRIP

เข้าป่า ฝ่าหมอก พายุ ฝน และเส้นทางที่ไร้คำเตือน : บันทึกการเดินทางสู่ “ภูตาจอ”

Story : TANAWUT R.
Photo : Tanawut Ritchuay,Theerayuth chantharapron,Atiwat Sukkhum

เมื่อความเงียบงันของป่าใหญ่ถูกแทนที่ด้วยเสียงฝนกระหน่ำตลอดคืน และม่านหมอกหนาทึบกลืนทุกสิ่งให้จางหายไปในความมืด การเดินทางสู่ “ภูตาจอ” กลายเป็นมากกว่าทริปขับรถวิบาก แต่เป็นการทดสอบทั้งฝีมือ ทักษะ และความกล้าหาญของจิตใจ ในค่ำคืนของพายุฝน…

ภูเขาที่ชื่อว่าท้าทาย

บนแผนที่ประเทศไทย หากคุณเลื่อนสายตาลงมาทางภาคใต้ ชื่อของ “พังงา” มักถูกจดจำในฐานะเมืองสงบในหุบเขามีทะเล เกาะน้อยใหญ่ และภาพโปสการ์ดจากเขาหลัก แต่หากเลื่อนตาให้ลึกเข้าไปอีกหน่อย ทะลุผ่านแนวป่าดิบเขาและเส้นทางที่ไม่อยู่ในแอปนำทาง คุณจะพบชื่อที่ไม่คุ้นหู — ภูตาจอ

ภูตาจอ ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนปริวรรต ซึ่งมีอาณาเขตเชื่อมต่อกับป่าเขาสก เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดพังงา ที่ระดับความสูง 1,350 เมตร จากระดับทะเล บริเวณนี้แต่เดิมเคยเป็นเหมืองแร่ดีบุกเก่าแก่มีชื่อว่า “เหมืองตาจอ” คนท้องถิ่นจึงเรียกยอดภูแห่งนี้ว่า “ภูตาจอ”

เส้นทางสลับซับซ้อน พาเรามาถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนปริวรรต Google Maps ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เราได้ตัดขาดกับโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์แบบ ระหว่างทางดินชันมีฝนตกตลอดเส้นทาง ไม่มีแม้แต่จุดพักร้านกาแฟริมทาง เป็นเส้นทางที่ต้อง “รู้” จึงจะ “ไป” และต้อง “กล้า” จึงจะ “ถึง” แต่ใช่ว่าทุกคนจะไปถึง

หลายคนถามว่า “เราขับรถขึ้นไปทำไม” ในเมื่อสามารถขับลงทะเลได้ง่ายกว่า แต่คำตอบกลับเรียบง่ายจนดูย้อนแย้ง — เพราะ เราอยากใช้ชีวิต ชีวิตที่เราเลือกเอง เช่นเดียวกับเส้นทางที่พวกเราเลือก

การเดินทางเริ่มต้นไม่ใช่แค่จากล้อรถที่หมุน แต่จากความตั้งใจจะพาตัวเองออกจากความแน่นอน สู่อ้อมกอดของความไม่อาจคาดเดา


เสียงเครื่องยนต์แรกในม่านหมอก

สมาชิกในกลุ่ม Wheel Friends คนหนึ่งพูดขึ้นก่อนออกเดินทาง “ใครปักตะไคร้ให้ฝนตกได้บ้าง ขอให้ทางพัง เจอพายุฝนด้วยเถอะ ” เสียงหัวเราะและรอยยิ้มตามประโยคนั้นมา ผมพลันคิดในใจว่า “คนแบบไหนกันต้องการชีวิตแบบนี้” เรามาถึงอุทยานก่อนค่ำเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษ

เสียงเครื่องยนต์ค่อย ๆ แหวกความเงียบของป่าขึ้นมาอย่างเกรงใจ ต้นไม้เรียงตัวหนาทึบ บางส่วนเผยให้เห็นว่าเพิ่งมีดินสไลด์ และไม้ล้ม เสียงวิทยุสื่อสารดังเป็นระยะถึงเส้นทางที่เราควรเลี่ยง ไม้ใหญ้เหมือนด่านเฝ้ายามที่กำลังจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของเรา ท่ามกลางความชื้นและกลิ่นเปียกดิน เส้นทางเบื้องหน้าคือเนินยาวที่โอบล้อมด้วยไหล่เขา สองข้างทางไม่มีอะไรยืนยันว่าเรามาถูกทาง นอกจากรอยล้อรถลาง ๆ จากผู้มาเยือนก่อนหน้า

สภาพป่าค่อยๆ เปลี่ยนจากดิบเขา เป็นป่าไผ่ครึ้ม ก่อนเผยลานโล่งให้เราได้จอดพัก แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าการขับขึ้นในหมอก คือการยอมรับว่าคุณอาจมองเห็นได้แค่สามเมตรข้างหน้า จะทดสอบจิตใจเราถึงขนาดนี้


รถเสีย และเวลาที่ไล่ล่า

เสียงรถคันสุดท้ายคำรามขึ้นเนินมาจอด “แหนบหลุดว่ะ” สิ้นเสียงดับเครื่องยนต์ ทุกคนรีบมาดูรถพร้อมแม่แรง และอุปกรณ์ช่าง พลิกดูนาฬากาข้อมือ 19.20 น. พลันเงยหน้ามองฟ้า ห้ายังไม่มืดแต่ดูเหมือนเราต้องติดอยู่กลางป่าที่ไม่มีทั้งแหล่งน้ำ ไฟฟ้า ทุกคนเปลี่ยนวิกฤตเป็นเวลาพักผ่อนจิบเบียร์ พูดคุย ช่วยเหลือจนกว่ารถจะซ่อมเสร็จ “เอาให้พอขับได้ไปก่อน ค่อยลงมาทำ” ประโยคนี้ออกจากปากเพื่อนร่วมทาง เราซ่อมรถเสร็จ 21.30 น.

หมอกยังคงอยู่ — หนาขึ้นพร้อมความหนาว การขับรถวิบากที่อายุกว่า 30 ปีอย่าง Suzuki Caribian ในความมืดคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก วิทุสื่อสารจากคันหน้าสุดบอกว่า “ร่องลึกประมาณ 1 เมตร ระวังซ้าย เบี่ยงขวา” แม้ฝนจะหยุด แต่พื้นทางคือกับดักโคลนที่ดูดล้อรถทุกคันเอาไว้ด้วยร่องลึกจนขยับไม่ได้ เราเลี่ยงที่จะเสี่ยงเพราะที่หมายยังอีกไกล

สัญญาณมือถือไม่มี เราติดต่อโลกภายนอกไม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ บทสนทนาทั้งหมดมีแต่แผนสำรองที่ไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้จริงหรือไม่ ช่างเป็นวันที่ยาวนานเหลือเกิน

ป่ากำลังกระซิบกับเพื่อนร่วมทางที่กลายเป็นผู้ร่วมชะตากรรม “เราควบคุมอะไรไม่ได้เลย” สิ่งนี้ปรากฏในห้วงความคิด การปรับตัวดูจะเป็นคำตอบเดียวที่เราตระหนักได้จากเสียงกระซิบของพงไพร


พายุ — บทสอบทางใจ

เราถึงจุดพักติดเชิงเขา ความืดปกคลุมทั่วบริเวณ แสงสีเหลืองทอง แสงสีขาวจากไฟตัดหมอดแต่ละคันส่องแสง เรารีบกางแคมป์พักต้านแรงลมและความหนาว เป็นเวลาเกือบ 22.00 น. ที่พักถูกเตรียมริมผา และข้างรถอย่างรวดเร็ว แต่แผ่นฟ้าไม่รอให้เราได้ผ่อนแรง เสียงฟ้าร้องเริ่มขึ้นเบา ๆ ในแนวป่า ต้นไม้ไหวตามแรงลมราวกับเตือนบางสิ่งที่กำลังจะมา

พวกเรารีบทานอาหารโดยไม่มีใครรู้ว่าข้างหน้าเตรียมบททดสอบไว้แล้ว หลังลมแรงที่พาละอองน้ำพลันให้คิดถึงประโยคก่อนเดินทาง “ใครปักตะไคร้ให้ฝนตกได้บ้าง ขอให้ทางพัง เจอพายุฝนด้วยเถอะ ” คำขอเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่ฝนที่โปรยลงมาแบบโรแมนติก แต่เป็นฝนที่ซัดลงมาเหมือนเกรี้ยวโกรธ อดจินตนาการถึงเส้นทางที่พวกเราผ่านมาไม่ได้ “พรุ่งนี้เละแน่เตรียมวิ้นไว้ได้เลย” หม้อต้มหม่าล่ายังคงร้อน เนื้อชุดสุดท้ายใกล้หมด แต่เบียร์ราวกับว่าไม่มีวันหมด ก่อนที่ซาซิมิปลาช่อนเลจะถูกแล่ ลมแรงพัดจนออนนิ่งรถเสางอทุกคนรีบหนีเข้าเต็นท์ ทั้งๆที่ยังไม่มีใครได้อาบน้ำ

น้ำจากหน้าผาผ่านใต้เต็นท์ของเราจนสัมผัสได้ ถุงนอนเปลี่ยนเป็นผ่าห่ม บ้างก็หนีไปนอนในรถ ทุกคนหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าและสายฝนกระหน่ำ

เสียงสนทนาในเต็นท์ค่อยๆเงียบ เราได้แต่รอฟ้าเปิด และหวังว่ารถจะยังสตาร์ทติดในตอนเช้า


เช้าที่ไม่มีแสง — และความหวัง

เพื่อนๆเริ่มตื่นจากความเหนื่อยล้า บ้างดื่มกาแฟ บ้างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรองท้อง “เราจะออกจากที่นี่ก่อน 10.00 น.” คนหนึ่งเปรยให้สัญญาณ เพื่อให้แต่ละคนจัดการตัวเองก่อนเวลาเดินทาง

หมอกยามเช้าที่ควรให้ความรู้สึกสดชื่น กลับกลายเป็นม่านขาวที่พรางทุกทิศทาง ละอองน้ำล่องลอยใร้ทิศทาง เป็นความงามที่ชวนพิศวง แม้จะอยู่ห่างจากกันเพียงสิบเมตร ก็แทบมองไม่เห็นกัน และแล้วเสียงหนึ่งก็ตะโกนมา “รถสตาร์ทไม่ติดว่ะ” ช่างประจำกลุ่มยิ้มรับ “เดี๋ยวผมดูให้พี่” ไม่ทันสิ้นเสียง น้องร่วมทริปอีกคนก็พูดประโยคเดียวกัน “พี่รถผมก็ไม่ติด” ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่ง่ายอีกแล้ว หลังจากเช็คความพร้อมรถแต่ละคันปรากฏว่าเราต้องซ่อมรถถึง 5 คัน จาก 7 คัน ด้วยความสามารถของเพื่อนร่วมทริปที่เรียกว่าหมอทหาร แค่ 2 คนเท่านั้น 9 โมงเช้าไม่มีแม้แดด ลมค่อยๆแรงขึ้น และแล้วสิ่งที่เราไม่คาดคิดก็ปรากฏ ฝนห่าใหญ่พอกับเมื่อคืนกระหน่ำร่วมชั่วโมง แต่แค่คราวนี้เราหนีไม่ได้ เต็นท์พักถูกเก็บหมดแล้ว เรายืนเบียดกันเพื่อคลายหนาว ทว่าในมือกลับถือเบียร์ที่เหลือจากเมื่อคืน

ตลอดทั้งวันพระอาทิตย์ยามเช้าแทบไม่มีโอกาสได้แสดงตัว เพราะหมอกเริ่มโรยตัวตั้งแต่เช้าตรู่ มันไม่ได้จางเหมือนในภาพถ่ายโฆษณา แต่ข้นหนาจนรู้สึกว่าหายใจเข้าไปได้ ในขณะที่จินตนาการถึงเส้นทางขากลับ การซ่อมรถดำเนินมาถึง 16.30 น. สภาพรถบางคันทำได้เพียงขับเพื่อประคองอาการ “อาหารเราเหลือแค่มื้อเดียว ถ้าต้องนอนที่นี่ต่อ” ความเครียดปรากฏในสายตาบางคู่ ความเงียบเข้ามาชั่วขณะ แต่พวกเรายังหัวเราะได้ เสียงเครื่องยนต์คำรามอีกครั้ง ทุกคนร้องลั่น เป็นเสียงที่มีความหมายเหลือเกิน

วิทยุสื่อสารแจ้งตั้งขบวน รถค่อยๆเคลื่อนตัวลงเนินชัน ผ่านร่องน้ำลึกจากเมื่อคืน ทุกคนเตรียมพร้อมรับมือกับทางโคลน น้ำป่า และเนินชันที่ลือกันว่ากินแรงกว่าที่ใครคิด


ไม่ต้องสูงสุดเสมอไปก็ได้

เรากลับออกมาจากภูตาจอ โดยไม่ได้ไปถึงจุดที่เรียกว่า “ยอด”
แต่ความสูงของยอดเขา ไม่ได้เท่าความหนาของประสบการณ์ที่ได้ระหว่างทาง บทเรียนจากธรรมชาติปรากฏแก่จิตใจแต่ละคนต่างกัน หนึ่งในคณะเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องสูงสุดก็ได้ ยิ่งสูงยิ่งเสี่ยง” ไม่ต่างกับการใช้ชีวิตในโลกภายนอกเลย หากทำได้เพียงปรับตัวรับมือเท่านั้น

ในหมอกหนา ฝนหนัก และการซ่อมรถกลางป่า เราได้เรียนรู้ว่า “การเอาตัวรอด” ไม่ใช่แค่ทักษะด้านเทคนิค แต่คือการรักษาสติ การสื่อสาร และการไว้ใจในทีม “การเอาตัวรอดจึงไม่ใช่การรอดไปคันเดียว คนเดียว” แต่คือการอดไปด้วยกัน

คำถามจากวันแรก “คนแบบไหนกันต้องการชีวิตแบบนี้” ค่อยๆ แจ่มชัดจากความคิดสู่ความจริง คนที่ยืดหยุ่นกับทุกปัญหา มุ่งมั่นที่จะแก้ไขทุกความผิดพลาด และพร้อมรับมือกับความยากลำบาก เพื่อจะหัวเราะให้สิ่งเหล่านั้น เรียงรายอยู่รอบตัว พร้อมเครื่องดื่มในเมือตลอดเส้นทาง


และในสถานที่ที่ไม่มีสัญญาณ ไม่มีใครยืนยันว่า “ตรงนี้ดี” มีเพียงคำบอกเล่าของคนที่โอกาสได้มาเยือนเท่านั้น การไปในเส้นทางที่ยากจะไปถึง จึงเป็นเรื่องเล่าที่ทรงเสน่ห์ — เราได้รู้ว่าความกล้าเริ่มต้นจากการไม่แน่ใจ และความหมายของการเดินทาง ไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง แต่อยู่ที่ว่า…
เรากลับมาในแบบที่เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

ดูเหมือนว่าคำขอต่อเส้นทาง จะได้รับการตอบรับจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ “ใครปักตะไคร้ให้ฝนตกได้บ้าง ขอให้ทางพัง เจอพายุฝนด้วยเถอะ ”


ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *