Blog REVIEW TRAVEL TRIP

ทุ่งหราแลนด์ : ไม่มีสัญญาณ(อันตราย)

Story : TANAWUT R.
Photo : Tanawut Ritchuay,Theerayuth chantharapron,Atiwat Sukkhum

จุดที่ไม่มีใครรู้จัก

ในโลกที่เต็มไปด้วยจุดเช็กอิน และเส้นทางท่องเที่ยวที่ถูกย่ำซ้ำจนแทบไม่เหลือความลึกลับ ชื่อของ “ทุ่งหราแลนด์” จังหวัดพังงา คือข้อยกเว้น

หลังจากเดินทางจากภูเก็ตได้ไม่ถึงชั่วโมง รถในคณะของเราแสดงอาการมาแล้ว 2 คัน หนึ่งในนั้นคืออาการเหยียบไม่ขึ้น เราตัดสินใจเปลี่ยนแผนจาก อุทยานแห่งชาติแก่งกรุง จังหวัดสุราษธานี เป็นทุ่งหราแลนด์ ซึ่งห่างจากจุดที่รถเสียประมาณ 30 กิโลแมตร คุณจะไม่เจอภาพของที่นี่ในโฆษณา YouTube ไม่มีแฮชแท็กในอินสตาแกรม และถ้าไม่ใช่คนพื้นที่ คุณอาจไม่เคยได้ยินชื่อมันมาก่อนด้วยซ้ำ


ทุ่งหราแลนด์เป็นชื่อที่ฟังดูเหมือนสวนสนุก แต่แท้จริงแล้วคือพื้นที่หุบเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติ ทะลุเข้าจากถนนสายรอง ผ่านแนวต้นไม้และหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนหลุดมาจากยุคก่อนจีพีเอส ทางแยกเล็กเป็นทางดินกรวด ร่องน้ำลึกกัดเซาะตลอดเส้นทาง

การเดินทางไปที่นั่นไม่ต้องใช้ตั๋ว แต่ต้องใช้ใจ เราได้รับมิตรภาพจากคนในพื้นที่ขับนำด้วยมอเตอร์ไซค์วิบาก
แทบไม่มีใครรู้เลยว่าทางข้างหน้าคืออะไร — แต่เป็นใจที่พร้อมจะเปียกเละ ติดหล่ม และไม่มีใครรู้ว่าความเสี่ยงให้รถพังกลางน้ำจะเกิดกับพวกเรา


สายน้ำไม่มีป้ายเตือน

เราขับรถวิบากเข้าทุ่งหราแลนด์ในช่วงบ่ายแก่ๆ เครื่องยนต์ยังพอรับกับสภาพความชันเกิน 30 ไหว พลังงานเต็มถัง และรอยยิ้มเต็มใบหน้า ไม่มีใครพูดถึงอันตราย ไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ จากธรรมชาติ มันเงียบ สวย และดูเป็นมิตรแบบที่ทุกภัยพิบัติมักจะเป็นในช่วงแรก เรายังคงสนุกกับวิวข้างทางเส้นทางลุยโคลน

เส้นทางตัดผ่านลำธารเล็ก ๆ สายน้ำใส กระแสไม่แรง ร่องน้ำลึกบางจุดซ่อนอยู่ใต้ความนิ่งของผิวน้ำ รถเราเริ่มลุยข้ามโดยอาศัยความเร็วต่ำและเกียร์ต่ำเพื่อควบคุมแรงหมุน

เสียงน้ำที่กระเซ็นเข้าข้างตัวรถฟังดูสนุกดี — จนล้อหลังเริ่มจมหาย และแรงต้านกลายเป็นเสียงดูดของโคลนกับน้ำลึก
เรารู้ตัวทันทีว่า จุดนี้อาจไม่ผ่านได้โดยง่าย วิทยุสื่อสารของแต่ละคันเริ่มวุ่นวาย บ้างทิ้งรถวิ่งมาเหตุการณ์ เสียงดังของการตะโกนผสานเสียงคำรามของเครื่องยนต์ Jeep Cherokee คณะรีบเปลี่ยนคนขับก่อนที่รถจะจมน้ำ ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มกำลังจะสิ้นแสงตะวันที่เหลี่ยมเขา ไม่มัสัญญาณใดจะเตือนเราถึงความวุ่นวายที่กำลังจะมา


ควบคุมไม่ได้ แต่ต้องไม่ตื่นตระหนก

หลังจากพ้นจุดลำธาร เราพบว่าการขับต่อบนดิน แฉะจากฝนเมื่อคืนก่อนยังไม่จบ ดินบางช่วงกลายเป็นโคลนเหนียว รถพยายามไต่ขึ้นเนินเหมือนคนที่ไม่มีแรงพอจะยกเท้าขึ้นจากหล่ม วิทยุสื่อสารส่งเสียงเพื่อทำลายความตึงเครียด

ระบบเบรกเริ่มลื่น เส้นทางคดโค้งขนานกับหุบ น้ำหนักรถที่เอนผิดจังหวะเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ทั้งคันไหลลงข้างทาง

นี่ไม่ใช่เส้นทางที่ “ยิ่งเหยียบ ยิ่งไป”
แต่คือเส้นทางที่ “ยิ่งนิ่ง ยิ่งรอด”

เราลดความเร็ว ใช้เกียร์ต่ำ ดึงรอบ ใช้เบรกมือแทนเบรกหลักเป็นช่วง ๆ
และใช้เท้า ความระมัดระวัง และสัญชาตญาณควบคุมรถเหมือนกำลังนำสัตว์ป่าที่ไม่คุ้นมือออกจากเขาวงกต


รถจมน้ำ กับเวลาที่ไล่ล่า

ช่วงเวลาหลังล้อหน้าจมหาย ล้อหลังขุดหลุมทรายฝังตัวเอง บรรยากาศไม่มีเสียงหัวเราะใดปรากฏจากคณะ มันเกิดขึ้นเร็วราวกับน้ำรู้ว่าต้องกดดันเรา เราพยายามเปลี่ยนเกียร์ ถอยหลังแล้วเร่งใหม่ แต่แรงดันจากกระแสน้ำที่ไหลผ่านใต้ท้องรถเริ่มเล่นงานหม้อน้ำ และเสี่ยงให้น้ำย้อนเข้าท่อไอเสีย

ไม่มีเวลาให้ลังเล ต้องลงจากรถทันทีทั้งที่น้ำสูงถึงเข่า ลากรถกลับขึ้นฝั่งให้เร็วที่สุดก่อนที่ระบบจะเสียหายเกินซ่อมได้กลางทาง

ทุกคนในคณะรีบเร่งลงน้ำช่วยกันยกหินดันล้อจากใต้ล้อ ลากเชือกดึงรถจากน้ำ เสียงร้องตะโกนสื่อสารผ่านเสียงน้ำที่ดูเหมือนสงบทว่าเยือกเย็น รถเริ่มขยับ — ทีละนิ้ว — จนในที่สุดเราลากมันขึ้นจากธารน้ำได้ในขณะที่ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากฟ้าอ่อนเป็นเทาหม่น แสงสว่างจากไฟตัดหมอกทำงาน ทีมช่างสมยานามหมอทหารของเราตรวจอาหารอย่างรวดเร็ว กว่าสองชั่วโมง ในการกู้รถ เราประคองJeep Cherokee มาถึงแคมป์พัก และภาวนาให้ความชื้นไม่รุนแรงกับเครื่องยนต์จนเกินไป

เราไม่มีเวลาฉลอง ไม่มีแม้แต่จะหายใจลึก
เพราะฟ้ายามเย็นในป่าคือคำเตือนว่า “รีบ ก่อนจะไม่ทัน” เราแยกเป็นสองทีมเพื่อไปจัดการแคมป์พัก และเตรียมอาหาร


เวลาที่หล่นหาย

ระหว่างทางกลับ เครื่องยนต์เริ่มมีอาการสะอึก ลมหายใจของรถไม่สม่ำเสมอ เราเปิดฝากระโปรงเพื่อพบว่าระบบกรองอากาศชื้นกว่าที่ควรจะเป็น และกล่องฟิวส์บางส่วนเปียกน้ำ หมอทหารพยามไล่อาการแข่งกับแสงที่ค่อยๆ หมดไป

เวลาคือศัตรูที่ใหญ่ที่สุด เราไม่มีเครื่องมือครบเซต อาศัยไฟตัดหมอก สปอร์ทไลต์ติดรถ ไม่มีแรงมากนักหลังจากวันทั้งวัน แต่เรามีเพื่อนที่มีประสบการณ์ และมีความพยายามที่มาจากการรู้ว่า “หากคืนนี้ค้างอยู่ที่นี่ เราอาจไม่มีอะไรเหลือให้ซ่อม และกลับไม่ได้”

ทุกคนแบ่งหน้าที่ — บางคนล้างอุปกรณ์ บางคนหาฝาครอบ บางคนถอดฟิวส์ทีละอันเพื่อไล่ความชื้น เครื่องยนต์ติดอีกครั้งพร้อมเสียงที่ไม่สมบูรณ์นัก แต่เพียงพอให้เราเคลื่อนตัวต่อ

เรายิ้มแบบคนหมดแรง และเริ่มขับออกจากเขตลำน้ำในเวลาที่แสงสุดท้ายของวันเกือบดับลง

เรายิ้มแบบคนหมดแรง และเริ่มขับออกจากเขตลำน้ำในเวลาที่แสงสุดท้ายของวันเกือบดับลง


ทุ่งหรากลางใจ

ค่ำคืนที่เหนื่อยล้าโอบกอดเราทุกคน อากาศเย็นค่อยๆลดต่ำลง อาหารคำถูกตระเตรียมจากทีมแรกของคณะที่มาถึง ความหิวจบลง เครื่องดื่มในกระติกน้ำแข็งเย็นจัด บทสนทนาหนีไม่พ้นเส้นทางที่ผ่านมา และการกู้อาการของรถในวันพรุ่งนี้ และทีมแรกต้องรีบไปซ่อมรถอีกคนที่เราทิ้งไว้ที่เชิงเขาในหมูบ้าน

เราออกจากทุ่งหราแลนด์อย่าทุลักทุเล ปรากฏว่ารถที่เหลือเพียง 5 คันของคณะแบตหมดหรึ่งคันจากการสองไฟให้คณะได้อาบน้ำในลำธาร อีกคันมีอาการรอบเครื่องยนต์ไม่เสถียร เราช่วยเหลือกันจนคณะค่อนๆลัดเลาะออกจากหุบเขา


แต่เรากลับได้พบกับสิ่งที่หายากกว่า — ความจริงของธรรมชาติที่ไม่เสแสร้ง และการเผชิญหน้ากับตัวเองในภาวะไร้ทางลัดบีคั้นทั้งจิตใจ สติ และอารมณ์

บางเส้นทางในชีวิตไม่ได้รอให้เราพร้อม
มันรอให้เราตัดสินใจว่า จะหยุด หรือจะไปต่อแม้ทุกอย่างไม่แน่นอน หลายสิ่งเหนือการควบคุมและยื่นมือมาทดสอบใจจังหวะที่เราไม่ทันตั้งตัว

และที่ทุ่งหราแห่งนี้ เส้นทางธรรมชาตินำพาเราผ่านน้ำ ผ่านโคลน ผ่านแรงกดดันของเวลา
จนได้เรียนรู้ว่า

บางครั้ง “เป้าหมาย” ไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง แต่อยู่ที่การไม่ยอมแพ้ระหว่างทาง

และประโยคที่ว่า “ทางดีมีเซเว่น” อาจเป็นรอยยิ้มในท้ายที่สุดที่ยื่นความรื่นรมณ์ให้เรา เพราะนอกจากไม่เจอเซเว่นแล้ว ยังไม่มีแม้ไฟฟ้า หรือสัญญาณโทรศัพท์ให้เราร้องขอความช่วยเหลือจากโลกภายนอก


ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *